มี Dividend Yield21F เกิน 5% ต่อปี 2. มี Upside เกิน 10% 3. เป็นหุ้นที่ฝ่ายวิจัยฯแนะนำซื้อ 4. เป็นหุ้นจ่ายปันผลปีละครั้ง (Annual) ยิ่งน่าสนใจ ดังนั้นจึงได้ผลลัพธ์ 11 บริษัท หุ้นปันผลเด่นปี 64 ดังนี้ เริ่มจาก STGT คาด Dividend Yield ที่ 12. 05% ตามด้วย STA คาด Dividend Yield ที่ 11. 65% ต่อมา MCS คาด Dividend Yield ที่ 8. 89% ขณะที่ DCC คาด Dividend Yield ที่ 8. 00% ส่วน ORI คาด Dividend Yield ที่ 6. 35% LH คาด Dividend Yield ที่ 6. 33% AP คาด Dividend Yield ที่ 6. 13% SCCC คาด Dividend Yield ที่ 5. 97% TU คาด Dividend Yield ที่ 5. 56% TTW คาด Dividend Yield ที่ 5. 16% และEASTW คาด Dividend Yield ที่ 5. 00%
ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ "ซื้อ" หุ้น TISCO ประเมินราคาเป้าหมาย 106 บาท โดยการพยายามควบคุมระดับ NPL ประกอบกับการตั้งสำรองจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ TISCO เป็นหุ้นในกลุ่มธนาคารที่มีสัดส่วนสำรองต่อ NPL สูงที่สุดในกลุ่มมาตั้งแต่ไตรมาส 3/2563 หลังจาก BBL เป็นธนาคารที่มีสัดส่วนสำรองต่อ NPL สูงที่สุดมาอย่างยาวนาน โดยไตรมาส 3/2564 TISCO มีสัดส่วนอยู่ 196% ในขณะที่ BBL ที่มีสัดส่วนรองลงมาที่ 190% และกลุ่มธนาคารมีสัดส่วนเฉลี่ยเพียง 158% ส่วนผลกำไรของ TISCO ในไตรมาส 4/2564 คาดจะมีกำไร 1. 6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 0. 9% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากการลดลงของการตั้งสำรองหลังจากมีการตั้งไว้เพียงพอแล้ว และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง ในขณะที่รายได้ยังลดต่ำลงจากสินเชื่อที่คาดว่าจะหดตัวต่อเนื่อง และคาดว่าจะทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมลดลงด้วย เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2564 คาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 5. 7% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าในไตรมาส 4/2564 จะไม่มีผลขาดทุนจากเงินลงทุนเหมือนในไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้คาดกำไรปี 2564 อยู่ที่ 6. 6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9. 5% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากการตั้งสำรองที่ลดลงมาก หลังจากมีการตั้งไว้เพียงพอแล้วในปีที่ผ่านมา และการควบคุมระดับเงินฝาก รวมไปถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดต่ำลง และเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้กำไรเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่รายได้ลดต่ำลง ทั้งรายได้ดอกเบี้ยที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการหดตัวลงของสินเชื่อ นอกจากนี้เนื่องจาก TISCO มีโครงสร้างบริษัทเป็น Holding Company ทำให้ไม่ติดกฎเกณฑ์จำกัดการจ่ายปันผลจาก ธปท.
ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB คงคำแนะนำ Neutral และยังคงเป้าหมายปี 2565 ที่ 13. 1 บาท มองว่าราคาหุ้น ปัจจุบันได้สะท้อนความน่าสนใจของ KTB จากการเติบโตของสินเชื่อภาครัฐ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำต่อการตกชั้นเป็น NPLและคาดหวังต่อการพัฒนา Digital banking ร่วมกับเอคเซนเชอร์ โซลูชั่นส์ (ACN) ซึ่งเป็นบริษัทต่างชาติ มีจุดเด่นด้าน IT support และการ พัฒนา Application เพื่อพัฒนาต่อยอดApplication เป้าตัง ให้มีความสามารถมากขึ้น เสริมประสิทธิภาพงานภาครัฐ อย่างไรก็ตามคาดว่าการพัฒนาธนาคารสู่ Tech company ของ KTB อาจยังต้องใช้เวลา ส่วน บมจ. ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ TTB คงคำแนะนำ Reduce ปรับราคาเป้าหมายปี 2565 เป็น 1. 30 บาท (เดิม 1. 10 บาท) ในเชิงปัจจัยพื้นฐานมองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาซื้อขายที่ 0. 7x PBV ใกล้เคียง -1. 0SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับค่าเฉลี่ยกลุ่มธนาคารที่ 0. 7x PBV, -1. 0SD ย่อมสะท้อนความคาดหวังเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรปี 2565 ไปแล้วประกอบกับคาด ROE ปี 2565 ของ TTB อยู่ที่ 6. 0% เทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มธนาคารที่ 7. 6% จึงเป็นข้อจำกัดต่อการให้ Premium เชิง Valuation สำหรับ TTB ทั้งนี้ CNS คาดกำไรกลุ่มธนาคารในปี 2565 อยู่ที่ 1.